เรียนรู้ Leverage, Margin, Margin Call และ Stop Out ก่อนลงมือเทรด
ในการเทรดสินค้า CFD (Contract for different) นั้น เทรดเดอร์ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินเต็มจำนวน ยกตัวอย่างเช่น หากเราทำการ BUY หรือ SELL ทองคำ จำนวน 0.01 LOT ที่ราคา 1900 ตามปกติแล้ว เราจะต้องใช้เงิน 1900 USD ในการเทรด ซึ่งเท่ากับมูลค่าของสินค้า แต่ถ้าเทรดเดอร์ทำการเทรดกับโบรกเกอร์ Startrader เทรดเดอร์อาจใช้เงินเพียงประมาณไม่ถึง 5 USD ในการเทรดออเดอร์ดังกล่าว ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่า ทางโบรกเกอร์มี Leverage ให้ โดยในบทความนี้ เราจะมีเรียนรู้เกี่ยวกับ Leverage พร้อมด้วยคำศัพท์อื่นๆที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น Margin,Margin Call และ Stop Out
1. Leverage
Leverage คือสิ่งที่เป็นตัวกำหนดว่า เเทรดเดอร์จะมีอำนาจในการเทรดและลงทุน เพิ่มขึ้นสูงสุดกี่เท่าของเงินที่มี ยกตัวอย่างเช่น
ตัวอย่างที่ 1
หากเรามีเงินในบัญชี 1,000 USD หากเราเลือก Leverage 1:1 (ไม่ใช้ Leverage) ก็เท่ากับว่าเทรดเดอร์ไม่มีอำนาจในการเทรด และ การลงทุนเพิ่มขึ้น ฉะนั้นเทรดเดอร์จึงทำการเทรดและลงทุนได้สูงสุดเท่ากับ 1,000 USD
ตัวอย่างที่ 2
หากเรามีเงินในบัญชี 1,000 USD หากเราเลือก Leverage 1:500 ก็เท่ากับว่าเทรดเดอร์มีอำนาจในการเทรด และ การลงทุนเพิ่มขึ้นสูงสุด 500 เท่า ฉะนั้นเทรดเดอร์จึงทำการเทรดและลงทุนได้สูงสุดเท่ากับ 500,000 USD
ตัวอย่างที่ 3
หากเรามีเงินในบัญชี 1,000 USD หากเราเลือก Leverage 1:1,000 ก็เท่ากับว่าเทรดเดอร์มีอำนาจในการเทรด และ การลงทุนเพิ่มขึ้นสูงสุด 500 เท่า ฉะนั้นเทรดเดอร์จึงทำการเทรดและลงทุนได้สูงสุดเท่ากับ 1,000,000 USD
ทั้งนี้ Leverage เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์สามารถเลือกได้ตอนเปิดบัญชี โดยหากเปิดบัญชีกับ Startrader ก็จะมี Leverage ให้เลือกตั้งแต่ 1:100 ถึง 1:1,000 อย่างไรก็ตาม แม้เทรดเดอร์จะสามารถเลือก Leverage ได้ แต่ Leverage ที่เลือกจะเป็นเพียง Leverage สูงสุดที่สามารถใช้ได้เท่านั้น เนื่องจาก Leverage จะยังขึ้นอยู่กับ ขนาดของเงินทุนในบัญชี (Equity) พร้อมกับ สินค้าที่ทำการเทรดอีกด้วย
Leverage กับขนาดเงินทุนของเทรดเดอร์ (Equity)
Leverage กับ สินค้าที่ทำการเทรด
ฉะนั้นต่อให้เราเลือก Leverage 1:1000 ตอนสร้างบัญชี แต่หากเรามี Equity ในพอร์ตเกิน 5,000 USD Leverage ในพอร์ตเราก็จะถูกปรับลดลงอยู่ดี หรือหากเราไปเทรดคริปโตเคอเรนซี เราก็จะถูกปรับ Leverage ลงเช่นเดียวกัน
2. Margin
เมื่อเราเข้าใจเกี่ยวกับ Leverage แล้ว ต่อไปเราก็จะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Margin กันต่อ เนื่องจากทั้ง 2 สิ่งนี้มีความสัมพันธ์กัน โดยความหมายของ Margin ก็คือจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องมีเพื่อทำการเปิดออเดอร์ ซึ่งทุกครั้งที่เราทำการกดเปิดออเดอร์ ค่า Margin จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่หากเราทำการปิดออเดอร์ค่า Margin จะลดลง และ หากเราไม่มีออเดอร์ค้างอยู่ ค่า Margin ก็จะเท่ากับ 0 หรือไม่มีการคิดค่า Margin นั่นเอง
สูตรการหา Margin
ในการค่า Margin สามารถใช้สูตรดังต่อไปนี้
หมายเหตุ : ค่าที่คำนวนได้จากสูตรจะมีหน่วยเป็นสกุลเงินด้านขวา แต่จะต้องมีการแปลงเป็นสกุลเงิน USD ตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ ตอนนั้น
ตัวอย่างที่ 1
Buy หรือ Sell EURUSD จำนวน 1.5 Lot ที่ราคา 1.08000 จะต้องใช้ค่า Margin เท่าไหร่ (กรณีที่ Equity ในพอร์ต เท่ากับ 40,000 USD และเลือก Leverage 1:500)
ตัวอย่างที่ 2
Buy หรือ Sell BTCUSD จำนวน 1.5 Lot ที่ราคา 23,000 จะต้องใช้ค่า Margin เท่าไหร่ (กรณีที่ Equity ในพอร์ต เท่ากับ 5,000 USD และเลือก Leverage 1:500)
3. Margin Call
คือ การที่โบรกเกอร์ส่งอีเมลล์ไปแจ้งเตือนว่าระดับ Equity ในพอร์ตของเราเหลือน้อยแล้ว เมื่อเทียบกับ Margin ซึ่งเราสามารถดูค่านี้ได้จากตรง Margin Level โดยหากระดับ Margin Call ของพอร์ตเราเหลือ 80% หรือน้อยกว่า ก็จะทำให้บัญชีเทรดของเราโดน Margin Call
สูตรการหา Equity ที่จะถูก Margin Call
ตัวอย่าง
หากบัญชีเทรดของเรามีค่า Margin เท่ากับ 250 บัญชีของเราจะโดน Margin Call เมื่อ Equity เหลือเท่าไหร่
4. Stop Out
คือการปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติจากโบรกเกอร์ โดยจะเกิดขึ้นเมื่อค่า Margin Level ในพอร์ทเหลือน้อยกว่า 50 %
สูตรการหา Equity ที่จะถูก Stop Out
ตัวอย่าง
หากบัญชีเทรดของเรามีค่า Margin เท่ากับ 250 บัญชีของเราจะโดน Stop Out เมื่อ Equity เหลือเท่าไหร่
*การซื้อขายและลงทุนใน Forex และ CFD มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้สูญเสียมากกว่าเงินทุนทั้งหมด